ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การหลับในขณะขับขี่” เป็นสาเหตุหลักที่สำคัญ และสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้ขับรถระยะทางไกล ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุก กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักของการเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้มากกว่ากลุ่มผู้ใช้รถประเภทอื่นๆ โดยสาเหตุ “การหลับใน” เกิดได้จากโรคประจำตัวหรือร่างกายที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะ “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” (Sleep Apnea) ถือเป็นหนึ่งสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุหลับใน

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์และผลกระทบของโรคหยุดหายใจขณะหลับกับโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
  2. เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตอันเนื่องมาจากผลกระทบจากโรคหยุดหายใจขณะหลับ

ขอบเขตการศึกษา

1. แบบสอบถาม STOP-Bang Questionnaire เพื่อตรวจคัดกรองผู้ที่มีภาวะของโรคหยุดหายใจขณะหลับ โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ และพนักงานขับรถบรรทุก จำนวน 237 ราย

2. การตรวจ Polysomnography Test (PSG) หรือ Sleep Test เพื่อใช้ในการตรวจวัดการหายใจ คลื่นสมอง และการเคลื่อนไหวแขนและขาขณะนอนหลับตลอดคืน ถือเป็นการตรวจวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานและมีความแม่นยำสูงที่สามารถใช้บอกความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 40 ราย

3. การทดสอบจำลองการขับขี่ยานพาหนะด้วยเครื่อง Driving Simulator เพื่อวัดประสิทธิภาพการขับขี่ด้วยสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่เสมือนจริง

ผลการศึกษา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้ขับขี่ มีดังนี้

ด้านภาพรวม

  • การขับรถที่ไม่เสถียร ยิ่งส่งผลต่อความสามารถรักษาตำแหน่งในเลนในขณะขับรถ (Lateral Position) ที่ไม่คงที่

ด้านภาวะความเหนื่อยล้าสะสม

  • ความไม่เสถียรต่อการรักษาตำแหน่งในเลนในขณะขับรถที่มากขึ้น
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับที่รุนแรงเพิ่มขึ้น
  • มีจำนวนครั้งการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มากขึ้น
  • ความอิ่มตัวออกซิเจนในเลือดต่ำลง

 

ผู้รับผิดชอบโครงการ : ศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ และคณะ, ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย
ผู้สนับสนุน : มูลนิธิไทยโรดส์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ปีที่เผยแพร่ : 2565
เอกสารเผยแพร่ :
รายงานผลการศึกษา